วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

โรงพยาบาลประสานมิตร

   โรงพยาบาลประสานมิตร เดิมคือโรงพยาบาลโรคปอดกรุงเทพ    ตั้งอยู่บน ถ.พหลโยธิน เลขที่ 1281 ซ.7-9 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. 10400
 อยู่เลยสถานีรถไฟฟ้าซอยอารีย์เล็กน้อย อยู่ตรงข้าม ธนาคารออมสิน


 เป็นโรงพยาบาลกึ่งรัฐบาล  เบิกค่ารักษาได้ตามระเบียบกรมบัญชีกลางเช่นเดียวกับโรงพยาบาลรัฐทั่วไป







ที่จอดรถกว้างขวาง ตัวตึกได้รับการปรับปรุงใหม่ และเปิดให้บริการตั้งแต่ ต้นปีใหม่ พ.ศ. 2554 นี้ และพร้อมให้บริการตรวจรักษาโรคทุกวัน ทั้งวันทำการและวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00-20.00 น.




ภายในตัวอาคาร โปร่งโล่งสะอาดสบายตา มีพยาบาลและเภสัชกรคอยให้การบริการ มีระบบเวชระเบียนและชนิดของยาตามรูปแบบเดียวกับศูนย์แพทย์พัฒนา





ให้บริการโรคทาง อายุรกรรมทางเดินหายใจ , โรคหัวใจและหลอดเลือด , เบาหวานและระบบต่อมไร้ท่อ , หูคอจมูก , สูตินารี , โรคภูมิแพ้และหอบหืดในเด็ก , จักษุแพทย์ , ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ , ระบบทางเดินปัสาวะ , และโรคผิวหนัง




ห้องตรวจมีอุปกรณ์เครื่องมือตามมาตรฐานโรงพยาบาล








ประวัติความเป็นมา แต่เดิมเป็นสมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย (ในพระบรมราชูปถัมป์) เปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 หรือ ประมาณ 73 ปีแล้ว และได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อและปรับปรุงระบบการรักษาอยู่เรื่อยมา และได้ปรับปรุงคร้งล่าสุด มกราม 2554 นี้ และพร้อมให้บริการกับทุกๆท่านแล้ว
หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามวันเวลาของตารางการตรวจได้ที่ 02-2780463

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดิสนีย์ซี แดนในฝัน

ตอนเด็กๆ เคยฝันมั๊ยว่า เราอยากเที่ยวที่ไหน ที่ไหนที่ที่เป็นที่ที่เราอยากไป ที่ไหนที่เรารู้สึกว่านั่นแหละใช่เลยต้องไปให้ได้
ผมจำความได้ ก็รู้จัก dysnealand จากการ์ตูนญี่ปุ่นในสมัยนั้นแล้ว โดยเฉพาะการ์ตูนยอดฮิตอย่างโดราเอมอน เจ้าแมวไม่มีหูแต่มีกระเป๋าหน้าท้องแบบจิงโจ้ มีตัวละครอย่างซูเนโอะ ที่บ้านรวยที่สุด มักจะมาคุยข่มคนอื่นเสมอว่าได้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่มา รวมถึงดิสนีย์แลนด์ด้วยนั่นเอง และนั่นแหละ จุดประกายความอยากไปญี่ปุ่นของผม รวมถึงอยากไปสัมผัส มนต์เสน่ห์ของแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
แต่วันนี้เมื่อผมโตขึ้น ผมเริ่มขยับความสนุกไปที่ dysneasea หรือ ดิสนีย์แลนด์ในรูปแบบเครื่องเล่นเกี่ยวกับน้ำ ติดทะเล บนเกาะที่สร้างสวรรค์ไว้ทั้งสองอย่าง ทั้ง ดิสนีย์แลนด์และดิสนีย์ซี
ตัวละครในหัวของผมมากมายได้โผล่ลอยออกมาตรงหน้าให้ได้เห็นกันจนได้ ไม่ว่าจะเป็น มิคกี่ มินนี่ โดนัล กูฟฟี่ พลูโต แต่เอ๊ะ ทำไมตัวเจ๋งๆอย่าง หมีพูห์ อียอร์ พิกเร็ต หายไปไหน นั่นก็ตัวการ์ตูนระดับตำนานเหมือนกันนะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความตื่นตาตื่นใจของผมหายไปแม้แต่น้อย ยิ่งได้มองเห็นกลุ่มผู้คนเข้าแถวกันยาวเหยียด แต่ก็มองดูแล้ว ไม่ได้เข้าแถวเล่นเครื่องเล่นนี่น่า แต่เป็นการเข้าแถวเพื่อจะถ่ายรูปกับตัวละครที่พวกเค้าชื่นชอบ แต่ผมแอบถ่ายดีกว่า

ความสวยงามของสถานที่ ความสนุกสนานของเครื่องเล่น บรรยากาศที่ไม่สามารถมีที่ไหนเหมือนได้ ทำให้ที่นี่ ดึงดูดคนได้อย่างมหาศาล เครื่องเล่นที่สนุกมาก คุณอาจต้องเข้าคิวยาวถึง80 นาที และบางอย่างไม่สามารถใช้บัตร Fastpass ได้เลย อย่างผมเป็นต้น แต่ถึงจะไม่เล่นเครื่องเล่นชื่อดัง ผมก็ยังไปดูโชว์ต่างๆที่เค้าจัดขึ้นมากมาก ซึ่งล้วนแล้วสุดยอดทั้งนั้น บางอย่างมีเพียงรอบเดียวต่อวัน บางอย่างจัดหลายรอบแต่รับจำนวนจำกัดอย่างมาก ไปช้าไปนิด อด หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นน่านับถือ เพราะเค้ามีความอุตสาหะในการนั่งนอน ปูเสื่อรอเพื่อเข้าคิวยาวกว่าร้อยหรือหลายร้อยคน เพื่อเพียงจะได้รับบัตรคิวไปดูโชว์นั้นๆท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ผมเองพวกรอวัดดวง ไม่รอหรอก เค้ารอที2-3 ชั่วโมงเพื่อรอรับคิว โอ้ทำไปได้ เค้าคงชินกับบรรยากาศแบบนี้เวลาที่เกมใหม่ๆออก ต้องเล่นให้ได้ แต่จริงๆบ้านเราก็ไม่ได้ต่างกันมากมาย ต้องเข้าคิวเพื่อซื้อ โรตีบอย ที่เป็นตำนานคนเข้าคิวยาวเหยียด ซึ่งมันหายไปไหนแล้วล่ะ ต่อมากระแสจตุคามก็เช่นกัน แย่งกันซ์้อแย่งกันขลัง จนกระแสหายไป แล้วคริสปี้ครีมก็เป็นโดนัทที่หลายคนอยากจะเข้าคิวเพื่อเป็นประวัติ หนึ่งในคนที่มีตังอย่างเดียวไม่พอ ต้องอยากและทนเข้าคิวกินมันให้ได้ อืม โชคดีที่ญี่ปุ่นเค้าไม่ต้องเข้าคิวเป็นชั่วโมง แค่สิบนาทีก็ได้กิน โชคดีจัง อร่อยแต่ก็เท่านั้น
ไปเรื่องโดนัทได้ไงเนี่ย เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมมาต่อเรื่องดิสนีย์ทีหลังนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อเด็กอยากเป็นหมอ เราจะทำยังไงดี

                                                               เด็กน้อยร่าเริง มีความฝันอยากเป็นคุณหมอ หยิบกล่องเครื่องมือแพทย์ขึ้นมา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นนางแบบให้อย่างดี น้องหมอปวดหู ผมตรวจดูรูหูปุ๊บ อุ๊ย หนองตรึม ดูดเลยดีกว่า แล้วปรากฎว่า    ดังภาพข้างล่างนี้ น้ำตาตก แก้มบวม งอน เอากล่องมาฟากผม เฮ้อ เด็กๆนี่เข้าใจอะไรได้ยากจริง

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เซ็นรับรองสำเนา..อย่าใช้หมึกน้ำเงิน ต้องหมึกดำเท่านั้น‏

อย่าลืม ต้องใช้ปากกากหมึกดำเท่านั้น...จึงจะปลอดภัยที่สุด




วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง...รู้ไว้ไม่เป็นหนี้

ตัวอย่าง /


บางคนอาจใช้ขีดเส้นขนาน แล้วเขียนข้อความ / เซ็นรับรอง

วันนี้เอาวิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาที่ถูกต้อง มาแบ่งปันให้คุณรู้ไว้จะได้ไม่เป็นหนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ประมาทไม่ได้เลยล่ะ เพราะหากเซ็นไม่ถูกวิธีแม้เพียงนิดเดียว คุณอาจตกเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดีที่นำเอาเอกสารสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารสำคัญอื่นๆ จากการเซ็นรับรองของเราไปทำประโยชน์ส่วนตน แต่สร้างหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้กับเรา ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า...ทุกครั้งหากต้องเซ็นเอกสารรับรองสำเนาอย่าลืม ...จำ...และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้นะครับ...





1) ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า..เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะสมัครงานเท่านั้น"

2) นอกจากกำกับรายละเอียดการใช้แล้ว ยังต้องกำกับ วัน/เดือน/ปี เขียนลงบนสำเนาที่ใช้ด้วยนะค่ะ ซึ่งนั่นจะช่วยกำหนดอายุการใช้งานสำเนาของเราได้

3) ต้องเขียนข้อความทั้งหมดทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารอื่นๆ ที่สำคัญ

ทั้งสามข้อคือวิธีเซ็นที่ถูกต้องในการรับรองสำเนาอย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องทาง ให้กับมิจฉาชีพ เอาไปสร้างหนี้ให้กับเรา ต่อไปนี้ต้องระวัง เพราะคุณอาจเป็นรายต่อไป ที่จู่ๆก็มี หนี้ตามมาเคาะประตูถึงบ้าน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทำตามล่ะ

4) ในกรณี ที่เซ็นเอกสาร ต้องใช้ปากกาหมึกสีดำเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะเครื่องถ่ายเอกสาร บางเครื่อง สามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก เหลือใช้เฉพาะข้อความของบัตรประชาชน แล้วทำให้มิจฉาชีพ เซ็นเอกสารบัตรประชาชนนั้น แทนเราได้เลย



****เพราะฉะนั้นเราควรเซ็นด้วยปากกาสีดำเท่านั้น เพราะไม่สามารถดึงหมึกสีดำออกได้ หรือถ้าดึงสีดำออกได้ข้อความก็จะหายไปหมดเลยทั้งหน้าบัตรประชาชนครับ

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

มีใครมายืนอยู่ปลายเตียงตอนนอน

เมื่อคืนประมาณตี2 ขณะนอนอยู่ ผมรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่าง ยืนมองดูผมอยู่ที่ปลายเตียง ในห้องที่มืดและเงียบสงัด ผมพยายามลืมตื่นตา ปรับสายตาให้มองเห็นในความมืด ร่างขาวๆ หน้าขาวๆยืนมองผมอยู่ จ้องมาที่ผม เดินเข้ามาที่ปลายเตียงอย่างช้าๆ ผมพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ทว่า มันช่างหนัก ปากจะพูดก็ลำบาก
พอลุกขึ้นมาได้ เห็นหน้าขาวๆ ตัวขาวๆ ก็บอกเลย เมิงมาทำอะไร เมิงเป็นใคร สักพักมันก็ก้าวเข้ามาใกล้ๆขึ้น แต่ด้วยความที่ดึกแล้ว ตอนนอนก็ถอดแว่นทำให้เห็นไม่ชัด แต่พอตอนเช้าแม่บอกว่าได้ยินเสียงเราพึมพัมอยู่ตอนดึก อะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่องไรเลย
แต่ได้ยินน้องชายที่เพิ่งโกนหนวดจนหน้าขาวพูดว่า นี่เช็คเอง กำลังจะนอน แต่เดินเบาๆ กลัวคนอื่นตื่น เอ่อสรุปที่เห็นนั่นไอ้น้องชายกระผมเอง จะบ้าตาย หลอนไปเลย

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

จดหมายจากฆาตรกร

เมื่อพี่ชายยอมทำทุกอย่างให้น้องชายมีความสุขและได้เรียนสูงขึ้น ตามที่แม่ได้บอกไว้ แต่แล้วเมื่อเค้าทำผิด กลายเป็นฆาตรกร
การกลายเป็นฆาตรกรของพี่ชาย ทำให้เค้าต้องส่งจดหมายออกมาเล่าเรื่องราวภายในคุกให้น้องชายฟังเป็นประจำได้เดือนละครั้งตลอด 15 ปี แต่หารู้ไม่ว่านั่นทำให้ชีวิตน้องชายของเค้าต้องเปลี่ยนไปตลอดการ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องความรัก เรื่องงาน และเรื่องครอบครัว
แล้วเค้าจะทำยังไง เพื่อไม่ให้น้องชายต้องเจ็บปวดกับการที่มีพี่ชายเป็นฆาตรกรตลอดไป
เรื่องเศร้าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในญี่ปุ่น จนทำเป็นภาพยนตร์ นี่เป็นเรื่องราวที่เราแนะนำให้ทุกๆท่านที่รักการอ่าน ได้หามาอ่าน น้ำตาท่านจะไหลเอ่ออย่างไม่รู้ตัว

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คู่มือมนุษย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ

คนขาดสติ ต้องวิ่งหาธรรม
แต่ธรรมวิ่งมาหาคนมีสติ
ดังนั้น จงเจริญสติ พอกพูนสติเถิด
จะค่อยๆสมบูรณ์ด้วยธรรม
และถึงที่สุดแห่งทุกข์ หรือปัญหา

หนังสือที่ดีที่สุดของท่านพุทธทาส ที่ชาวพุทธแท้ ต้องอ่าน